เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนวิธีบริโภคสื่อก็เปลี่ยนไป หากเราต้องการขายสินค้า แต่เรายังขายเพียงตามหน้าร้านหรือขายตามแหล่งต่างๆ อาจทำให้เราพลาดโอกาสที่มีลูกค้าใหม่ๆ การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์คทำให้เกิดการโน้มน้าว ชักชวน คนจำนวนมากได้ง่ายขึ้นและเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าได้มากขึ้นไปด้วย ไอเดียในการทำธุรกิจจะเพิ่มมากขึ้น และทำอย่างไรให้ธุรกิจ Offline ของเราเปลี่ยนเป็นธุรกิจ Online เพื่อเพิ่มยอดขาย เรามาดูกัน
ทำไมจะต้องเราจะต้องอยู่แค่ Offline ในเมื่อยุคนี้ Online มีผลมากขึ้น?
ออนไลน์ดีอย่างไร?
- ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าของเราได้ทุกที่ ตลอดเวลา ไม่มีเวลาเปิด/ปิด
- ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน หรือเช่าพื้นที่ขาย ก็สามารถขายของได้
- เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
- สามารถรองรับลูกค้าได้ทั่วทุกมุมโลก
- ลูกค้าสามารถรอรับสินค้าที่หน้าบ้านได้เลย
ทำอย่างไรให้ธุรกิจ Offline ของเราเปลี่ยนเป็นธุรกิจ Online
1. หาช่องทางจัดจำหน่ายหรือตลาดสินค้าออนไลน์ (Marketplace)
ถ้าสถานที่ที่ผู้ซื้อและผู้ขายมาเจอกัน ถ้าในธุรกิจ Offline คือ ตลาดสด ตลาดนัด งานแฟร์เทรดต่างๆ ธุรกิจ Online ก็คือเว็บไซต์ที่เป็นสื่อกลางในการขายของ เช่น Amazon, Lazada, Kaidee หรือกลุ่มตลาดซื้อขายในเฟซบุ๊ก
2. เขียนโปรโมต
ก่อนที่เราจะทำการโปรโมตสินค้าของเรา ต้องรู้ก่อนว่าสินค้าของเรานั้นเป็นสินค้าประเภทใด ตีตลาดกลุ่มคนแบบไหนและทำแบบไหนลูกค้าจะสนใจ เรามาดูกันว่ามีวิธีไหนกันบ้าง
1. โลโก้ (LOGO) เด่นทำให้คนติดตาจำสินค้าเราได้ง่ายขึ้น
ก่อนอื่นเลยต้องเริ่มจากการทำ โลโก้ สินค้า การมีโลโก้สินค้าจะทำให้ลูกค้าจดจำสินค้าเราได้ง่ายขึ้น วีธีการอออกแบบโลโก้นั้น
- ควร “สื่ออารมณ์” ให้คล้องกับสินค้าของเรา
ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่าอยากให้ออกมามีอารมณ์แบบไหน ซึ่งอารมณ์ที่เราเลือกก็ควรจะสอดคล้องกับหน้าตาของแบรนด์ที่เราต้องการ - ควร “สื่อความหมาย” ให้คล้องกับสินค้าของเรา
การทำโลโก้ที่ดีของแบรนด์ไม่ใช่แค่โลโก้ที่เอาชื่อแบรนด์มาจับคู่กับรูปทรงนั้น ๆ เฉย ๆ
ซึ่งเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ควรเอาโลโก้สำเร็จรูปมาใช้กับธุรกิจเรา นักออกแบบโลโก้ต้องเข้าใจว่าแบรนด์ทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร
ถึงจะออกแบบมาเป็นโลโก้ที่ดีได้ - ควรมี “ลักษณะเฉพาะ” ให้โลโก้จดจำง่าย
โลโก้ที่ดีต้องมีลักษณะเฉพาะ ไม่เหมือนใคร และจดจำได้ง่าย ลูกค้าควรจะจดจำรูปทรงโลโก้ของเราได้ตั้งแต่แรกเห็น
***หากใครคิดไม่ออก ไม่มีเวลา การเลือกให้มืออาชีพออกแบบให้ก็เป็นความคิดที่ดี เช่นที่เว็บ Logo
2. การโฆษณาสินค้า
การโฆษณาสินค้าจะทำให้สินค้าเรามีคนสนใจและดูน่าสนใจมากขึ้น ซึ่งมีเราเทคนิคการเขียนโฆษณาสินค้า ดังนี้
- เขียนข้อความโฆษณาสั้นและได้ใจความให้น่าดึงดูด อธิบายให้ชัดเจนว่า สินค้า หรือบริการที่เราต้องการนำเสนอคืออะไร
เราควรเขียนข้อความให้โฆษณาของเราให้น่าดึงดูดโดยเราต้องย้ำจุดเด่นของสินค้า เน้นจุดต่างและอธิบายให้ชัดเจนว่าสินค้าหรือบริการที่เราต้องการนำเสนอคืออะไร โดยพยายามกำหนดตัวอักษรให้ไม่ควรเกิน 65 อักษร และคำขยายความที่ดึงดูดความสนใจ - เลือกภาพที่มีความโดดเด่นสะดุดตา
เพื่อเพิ่มการจดจำแบรนด์และผู้พบเห็นได้มากยิ่งขึ้น ควรเลือกภาพให้มีความเหมาะสม ซึ่งภาพที่ใช้ควรมีสีสันสดใส ดูโดดเด่นและสิ่งสำคัญก็คือภาพ Cover จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเรา - Keyword ดีคนเข้าพบเห็นมากขึ้น
การมี Keyword จะช่วยให้ลูกค้าสามารถหาร้านของเราได้ง่ายขึ้น เพราะฉะนั้นในการเขียนคำโฆษณาทุกครั้ง เราควรใส่ Keyword เข้าไปในข้อความด้วยโดย Keyword ไม่ควรใช้คำกว้างเกินไป สะกดคำผิด และ ข้อความเกินความจริง - แสดงราคาสินค้าที่แยกกับค่าขนส่ง
การแสดงราคาสินค้าแยกกับขนส่งจะทำให้สินค้าเราดูถูกลงกว่าสินค้าที่รวมค่าส่งแล้ว แม้ว่าพอรวมจริงๆอาจจะแพงกว่า แต่ลูกค้าก็จะยังติดภาพราคาหลักของเราที่ถูกกว่า ทำให้เราได้เปรียบมากขึ้น - ระบุสิ่งที่ต้องการให้ลูกค้าทำ หรือที่เรียกว่า Call to action ให้ง่ายและชัดเจน
ใช้ขนาดตัวอักษร สีและตำแหน่งที่มองเห็นได้ง่ายเด่นสะดุดตา เช่น “สั่งซื้อออนไลน์ที่นี่!” เป็นต้น
***แต่ถ้าหากใครที่กำลังคิดหาทางเขียนข้อความโฆษณาแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
อาจจะปรึกษาหรือให้ผู้มีประสบการณ์ออกแบบให้ เช่น Banner โฆษณา
3. รูปแบบแพ็คเกจสินค้า
เมื่อเรามีสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ดูดีจะสร้างความแตกต่างและเพิ่มมูลค่าให้สินค้าด้วย แน่นอนว่าหน้าที่สำคัญที่สุดของบรรจุภัณฑ์ก็คือการปกป้องสินค้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากบรรจุภัณฑ์ไม่สามารถปกป้องสินค้าภายในให้อยู่ในสภาพดีได้ นั่นก็ไม่ใช่บรรจุภัณฑ์ที่ดี แต่การสร้างบรรจุภัณฑ์ความแตกต่างจะทำให้สินค้าดูมีมูลค่ามากขึ้น หากมีสินค้าสองยี่ห้อมีราคาใกล้เคียงกัน มีคุณภาพไม่ต่างกัน หรือบางทีเป็นสินค้าจากโรงงานเดียวกันแต่แปะป้ายคนละยี่ห้อ ผู้บริโภคจะตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าโดยเลือกที่ ดีไซน์ของบรรจุภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งบรรจุภัณฑ์ไหนที่มีดีไซน์แปลกใหม่กว่า มีประโยชน์ใช้สอยมากกว่า เปิดปิดสะดวกกว่า สวยงามกว่า จะถูกเลือกซื้อมากกว่า ซึ่งจะทำลูกค้าจะเชื่อว่าตัวสินค้าดูมีคุณภาพมากกว่า ยิ่งถ้าสินค้าภายในมีคุณภาพด้วยแล้วก็จะเกิดการบอกต่อๆ กันไปจากปากของผู้บริโภค ทำให้เราไม่ต้องทุ่มงบประมาณมหาศาลไปกับการทำการตลาด แต่เอางบประมาณเหล่านั้นมาพัฒนาบรรจุภัณฑ์และผลิตภัณฑ์ให้มีคุณภาพยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
*** หากไม่รู้จะออกรูปแบบบรรจุภัณฑ์แบบไหน แล้วจะรู้ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ดีช่วยเพิ่มยอดขายยังไง ลองปรึกษาหรือให้ผู้มีประสบการณ์ทำให้ เช่น Label & Packaging
4. ช่องการชำระเงิน
การชำระเงิน คือ สิ่งสำคัญและมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ การให้บริการในการชำระเงินที่สะดวก หลากหลายช่องทาง สามารถทำให้การซื้อขายดีขึ้น ยอดขายเพิ่มมากขึ้น
หากไม่มีช่องทางที่สะดวกต่อการชำระเงิน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาก็สูญสลายไปโดยเปล่าประโยชน์ ปัจจุบันผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้วิธีโอนเงินผ่านมือถือผ่านทางแอปพลิเคชั่นของธนาคารต่างๆ
ซึ่งหากเรามีหลายหลายธนาคารหรือสมัคร Payment Gateway อื่นๆเช่น AliPay, AirPay, BluePay จะทำให้ผู้ใช้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงินหรือเช็คยอดเงินก็ง่าย
5. มีเพจและเว็บไซต์เป็นของตัวเอง
Facebook นั้น ไม่ว่าใครที่มีบัญชีผู้ใช้งาน ก็สามารถสร้างเพจเองได้ แต่ถ้าเรามีทั้งเพจและเว็บไซค์ด้วยจะทำให้ร้านของเราสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าได้ เพราะจะมีเว็บไซต์ได้นั้น ต้องทำการจดทะเบียน กับผู้ให้บริการ Web Hosting ต้องมีชื่อ และที่อยู่ที่สามารถติดตามได้ ความน่าเชื่อถือจึงย่อมมีสูงกว่าแน่นอน ส่วนขั้นตอนการสร้างเว็บไซต์ธุรกิจออนไลน์ มีดังนี้
- กำหนดเป้าหมายและวางแผนงาน
- การกำหนดกลุ่มเป้าหมายของเว็บเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าเว็บไซต์นี้ต้องการนำเสนออะไรหรือต้องการให้เกิดผลอะไร หากเราต้องการขายสินค้า เราก็ควรออกแบบให้เหมาะกับสินค้านั้นๆ
- เลือก Web Hosting และจด Domain Name
- ก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนว่า Web Hosting และโดเมนเนม คืออะไร
- Web Hosting คือ พื้นที่การใช้งานในอินเทอร์เน็ต โดยการเช่าพื้นที่ ฮาร์ดดิสก์ในเครื่อง Server ของผู้ให้บริการ โดยเครื่อง Server นี้จะเชื่อมต่อ Internet ความเร็วสูง และ online 24 ชม. สำหรับเว็บไซต์ทั่วไป โฮสติงมีลักษณะที่เปรียบเทียบได้เหมือนกับ ฮาร์ดดิสก์ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา ฉะนั้นถ้าคุณมีพื้นที่การใช้งานโฮสติ้งที่มาก คุณก็จะสามารถเก็บ ไฟล์, รูปภาพ, เอกสาร และอื่นๆ ได้มากตามไปด้วยเช่นกัน บางครั้งเราอาจเรียกได้หลายแบบเช่น โฮสติง โฮสติ้ง เว็บโฮสติง โฮส แต่ทั้งหมดก็มีความหมายเหมือนกัน
- โดเมนเนม คือ ชื่อเว็บไซต์ ชื่อบล็อก ซึ่งเป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อให้จดจำและนำไปใช้งานได้ง่าย ทั้งในการเข้าชมผ่านบราวเซอร์ของผู้ใช้ทั่วไป ยังรวมไปถึงผู้ดูแลระบบโดเมนเนมซีสเทม ที่สามารถแก้ไขไอพีแอดเดรสของชื่อโดเมนเนมนั้นๆ ได้ทันที โดยที่ผู้ใช้ทั่วไปไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือจดจำไอพีแอดเดรสที่มีการเปลี่ยนแปลง เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เผยแพร่เว็บไซต์ จะมีโดนเมนเนมเฉพาะไม่ซ้ำกับใคร
- สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการทำเว็บไซต์ขึ้นมาเว็บนึง คือ โดเมน ที่เปรียบเสมือนชื่อของเรา หลายๆ คนให้ความสำคัญกับชื่อ แต่ลืมให้ความสำคัญกับความเป็นเจ้าของโดเมน ทำให้เกิดปัญหาใหญ่ที่ยุ่งยากตามมา เมื่อจดชื่อโดเมนแล้วจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากจะต้องการเปลี่ยนจริงๆต้องเสียเงินจดโดเมนเพิ่มอีก 1 โดเมน และควรเลือกผู้ให้บริการจดโดเมนที่เชื่อถือได้ เพราะผู้ดูแลโดเมนให้คุณ จะต้องเป็นผู้ต่ออายุโดเมนให้เมื่อโดเมนหมดอายุ นอกจากนี้ เค้ายังสามารถเข้าไปจัดการแก้ไขโดเมนของคุณได้เช่นกัน โดยผู้ให้บริการที่เชื่อถือได้คือผู้ให้บริการที่อยู่ในรูปแบบบริษัท สังเกตง่ายๆชื่อบัญชีที่เราจะต้องโอนเงินไป เป็นชื่อบุคคลธรรมดาหรือบริษัท
- ก่อนอื่นเรามารู้กันก่อนว่า Web Hosting และโดเมนเนม คืออะไร
- ออกแบบเว็บไซต์
- เว็บไซด์ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีการใช้งานที่สะดวก ย่อมได้รับความสนใจจากผู้ใช้ มากกว่าเว็บไซด์ที่ดูสับสนวุ่นวาย มีข้อมูลมากมายแต่หาอะไรไม่เจอ นอกจากนี้ยังใช้เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้านานเกินไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการออกแบบเว็บไซด์ไม่ดีทั้งสิ้น
ดังนั้น การออกแบบเว็บไซด์จึงเป็นกระบวนการสำคัญในการสร้างเว็บไซด์ ให้ประทับใจผู้ใช้ ทำให้เขาอยากกลับเข้ามาเว็บไซด์เดิมอีกในอนาคต ซึ่งนอกจากต้องพัฒนาเว็บไซด์ที่ดีมีประโยชน์แล้ว ยังต้องคำนึงถึงการแข่งขันกับเว็บไซด์อื่นๆ อีกด้วย- องค์ประกอบของการออกแบบเว็บไซต์
- ความเรียบง่าย (Simplicity) การจัดองค์ประกอบในส่วนของกราฟิกไม่ว่าจะเป็นสีสัน ตัวอักษรและภาพเคลื่อนไหว ต้องเลือกให้พอเหมาะหากมีมากเกินไปจะรบกวนสายตาและสร้างความคำราญต่อผู้ใช้เพราะฉะนั้นการออกแบบเว็บไซต์ในรูปแบบที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน และใช้งานอย่างสะดวกจึงเหมาะสมที่สุด
- ความสม่ำเสมอ (Consistency) คือการใช้รูปแบบเดียวกันตลอดทั้งเว็บไซต์หรือแต่ละหน้าในเว็บไซต์นั้นมีความแตกต่างกันไม่มากจนเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนและไม่แน่ใจว่ากำลังอยู่ในเว็บไซต์เดิมหรือไม่
- ความเป็นเอกลักษณ์ (Identity) การออกแบบเว็บไซต์จะสะท้อนถึงเอกลักษณ์และลักษณะขององค์กร การเลือกใช้ตัวอักษร ชุดสี รูปภาพหรือกราฟิก จะมีผลต่อรูปแบบของเว็บไซต์เป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ถ้าเราต้องออกแบบเว็บไซต์ของธนาคารแต่เรากลับเลือกสีสันและกราฟิกมากมาย อาจทำให้ผู้ใช้คิดว่าเป็นเว็บไซต์ของสวนสนุกซึ่งส่งผลต่อความเชื่อถือขององค์กรได้
- เนื้อหา (Useful Content) เนื้อหาในเว็บไซต์ต้องสมบูรณ์ครบถ้วนและได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- ระบบเนวิเกชั่น (User-Friendly Navigation) หรือระบบนำทางในเว็ปไซต์ ซึ่งสามารถทำให้ผู้ที่เข้ารับชมเว็บไซต์ นั้นสามารถไปได้ถึงทุกๆหน้าเพจในเว็บไซต์นั้นได้ และสามารถที่จะกลับมาที่หน้าหลักของ เว็บไซต์ได้ด้วย ทำให้มีความสะดวกในการ Link ไปยังหน้าต่างๆที่เรามีทั้งหมด ซึ่งการออกแบบเนวิเกชั่น จึงควรให้เข้าใจง่าย ใช้งานได้สะดวก ถ้ามีการใช้กราฟิกก็ควรสื่อความหมาย ตำแหน่งของการวางเนวิเกชั่นก็ควรวางให้สม่ำเสมอ เช่น อยู่ตำแหน่งบนสุดของทุกหน้าเป็นต้น เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งาน
- คุณภาพของสิ่งที่ปรากฏให้เห็นในเว็บไซต์ (Visual Appeal) เว็บไซต์ที่น่าสนใจนั้นส่วนประกอบต่าง ๆ ควรมีคุณภาพ เช่น กราฟิกควรสมบูรณ์ไม่มีรอยหรือขอบขั้นบันได้ให้เห็น ชนิดตัวอักษรอ่านง่ายสบายตา มีการเลือกใช้โทนสีที่เข้ากันอย่างสวยงาม เป็นต้น
- ความสะดวกของการใช้ในสภาพต่างๆ (Compatibility) การใช้งานของเว็บไซต์นั้นไม่ควรมีขอบจำกัด กล่าวคือ ต้องสามารถใช้งานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายรองรับอุปกรณ์ทุกประเภท และไม่มีการบังคับให้ผู้ใช้ต้องติดตั้งโปรแกรมอื่นใดเพิ่มเติม
- ความคงที่ในการออกแบบ (Design Stability) ถ้าต้องการให้ผู้ใช้งานรู้สึกว่าเว็บไซต์มีคุณภาพ ถูกต้อง และเชื่อถือได้ ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบบวางแผนและเรียบเรียงเนื้อหาอย่างรอบคอบ ถ้าเว็บที่จัดทำขึ้นอย่างลวกๆถ้ามีปัญหามากขึ้นอาจส่งผลให้เกิดปัญหาและทำให้ผู้ใช้หมดความเชื่อถือ
- ความคงที่ของการทำงาน (Function Stability) ระบบการทำงานต่าง ๆ ในเว็บไซต์ควรมีความถูกต้องแน่นอน ซึ่งต้องได้รับการออกแบบสร้างสรรค์และตรวจสอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ลิงค์ต่าง ๆ ในเว็บไซต์ ต้องตรวจสอบว่ายังสามารถลิงค์ข้อมูลได้ถูกต้องหรือไม่ เพราะเว็บไซต์มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ส่วนปัญหาที่พบได้บ่อยก็คือ ลิงค์ขาด ซึ่งเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญกับผู้ใช้เป็นอย่างมาก เพราะฉะนั้นตรวจสอบอยู่เสมอ
- เว็บไซด์ที่ได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม มีการใช้งานที่สะดวก ย่อมได้รับความสนใจจากผู้ใช้ มากกว่าเว็บไซด์ที่ดูสับสนวุ่นวาย มีข้อมูลมากมายแต่หาอะไรไม่เจอ นอกจากนี้ยังใช้เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้านานเกินไป ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นผลมาจากการออกแบบเว็บไซด์ไม่ดีทั้งสิ้น
***หากไม่มีเวลาว่างศึกษาหรือออกแบบเว็บไซต์เองลองไปเลือกดูผู้ให้บริการกันได้ที่ Web Design
6. การซื้อโฆษณา
การจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณานั้นมีข้อดีคือคุณจะสามารถเข้าถึงคนได้เป็นจำนวนมากในระยะเวลาสั้นๆ ยิ่งเป็นโฆษณาบนโลกออนไลน์ (อย่างเช่นบน Facebook หรือ Google) จะยิ่งทำให้เม็ดเงินที่ลงไปนั้นตรงกลุ่มเป้าหมายมากๆ การลงโฆษณาใน Facebook และ Google AdWords จะต้องอาศัยความเชี่ยวชาญแม้อาจจะไม่ใช่เรื่องยากแต่หากขาดประสบการณ์เราอาจจะสูญเงินไปหลายๆบาทโดยที่ไม่ได้อะไรกลับมาเลย แนะนำให้หาที่ปรึกษาที่มีประสบการณ์มาคอยช่วยเหลือก่อนในช่วงแรก ปรึกษาการโฆษณาได้ที่ โปรโมทเพจ+โปรโมทเว็บ
ขอขอบคุณ fastwork.co