การทำธุรกิจส่วนตัว “ไอเดีย” เป็นสิ่งสำคัญมากที่จะสามารถทำให้ธุรกิจใหม่ๆเกิดขึ้นได้ โลกทุกวันนี้หมุนไว สิ่งใหม่ๆก็เลยเกิดขึ้นไวมากเช่นกัน ฉะนั้น หากเราจะทำอะไรออกสู่ตลาดแล้วจำเป็นต้องมีไอเดียในการสร้างธุรกิจ เพื่อสร้างความโดดเด่น สร้างความแปลกใหม่ที่ยังไม่มีคนทำ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆให้กับลูกค้า เรียกได้ว่ามีทุนอย่างเดียวไม่พอ ที่สำคัญต้องมีไอเดียด้วย นั่นคือโจทย์ใหม่ที่คุณต้องออกไปหาคำตอบแล้วล่ะคะ
ออกเดินทาง
เพื่อหาตัวเอง ถ้าอยู่กับกิจวัตรประจำวันเดิมๆแล้วคิดไม่ออกว่าจะทำ ธุรกิจส่วนตัวอะไร การออกไปหาคำตอบจากโลกภายนอกก็ไม่มีอะไรเสียหาย ในเมื่ออยู่กับที่ก็ไม่ได้คำตอบให้ชีวิตอยู่แล้วจริงมั้ยคะ แพ็คกระเป๋าไปเที่ยวในที่ที่ไม่เคยไปกันดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นขึ้นเหนือ ล่องใต้ เที่ยวในประเทศ หรือต่างประเทศก็ได้ทั้งนั้น
จงเป็นคนช่างสังเกต
การเที่ยวครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวที่สุดคุ้มตั้งแต่คิดเลย เพราะนอกจากจะได้พักผ่อนแล้ว ยังจะได้เปิดหูเปิดตาหาไอเดียใหม่ๆจาก Inspiration รอบตัว การเที่ยวครั้งนี้อย่ามัวแต่รักสนุกอย่างเดียว ต้องเพิ่มเติมความเป็น “คนช่างสังเกต” ด้วย สังเกตทุกอย่าง อาชีพที่พบเห็น ของกินของเล่นที่แปลกตา อาหาร วัฒนธรรม ภาษา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นล้วนก่อให้เกิดไอเดียดีๆได้เสมอ
เห็นแล้วเกิด Inspiration ได้อย่างไร?
คำตอบคือเมื่อเห็นแล้วต้อง “ต่อยอดความคิด” เมื่อเห็นไอเดียไหนน่าสนใจ ลองต่อยอดความคิดออกไปอีกว่าเราจะเอามาปรับใช้กับธุรกิจเราได้อย่างไร หรือมีอะไรแปลกใหม่น่าสนใจที่ยังไม่มีใครทำในพื้นที่ที่เราอยู่ แล้วเราจะสามารถนำไอเดียนั้นมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน หรือแม้แต่กระทั้งรับของจากพื้นที่นั้นๆมาขายเองก็ได้ถ้าเห็นว่าน่าสนใจ เพราะเราอาจจะไม่สามารถผลิตเองได้ ก็ผันตัวเองเป็นพ่อค้าคนกลางเองซะเลย
เรียนรู้จากประสบการณ์จริง
“ไม่มีบทเรียนใดคุ้มค่ามากกว่า…การเรียนรู้จากประสบการณ์จริง” ถ้าคุณอยากเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่มั่นใจว่าจะขายได้หรือไม่ ก็ลองไปนั่งกินก๋วยเตี๋ยวจากร้านที่ขายดีที่สุด กับร้านที่ขายไม่ได้เลยดูสิคะ ไม่จำเป็นต้องลงทุนจ้างนักสำรวจข้อมูล หรือเอาสมุดไปนั่งจดไอเดียถึงร้านก๋วยเตี๋ยวนะคะ ไม่ต้องลงทุนขนาดนั้น สิ่งที่ต้องทำมีแค่ “สังเกตและตั้งคำถามกับตัวเอง”
สังเกตไปเรื่อยๆ แล้วคุณจะเริ่มได้ไอเดียเองค่ะ
ทำไมร้านนี้ขายดี, ทำไมร้านนั้นคนไม่เข้า, ทำไมขายถูกแต่ลูกค้าไม่ซื้อ, ที่คนเข้าแต่ร้านนี้เพราะดัง!, เจ้านั้นไม่มีชื่อเสียง แถมมาขายใกล้ร้านดังลูกค้าก็เลยไม่เข้า, ร้านนี้แม่ค้าพูดเพราะ, ร้านนั้นแม่ค้าปากจัด , ร้านนี้หมูไม่สด, ราคาแพงไป, น้ำซุปจืดมาก, ใช้ลูกชิ้นผสมแป้ง, ร้านนี้มีพัดลม, ร้านนั้นไม่คิดค่าน้ำ, ร้านนี้มีทิชชู่ฟรี, ร้านนั้นมีที่จอดรถ ฯลฯ ทุกสิ่งอย่างเป็นเหตุผลได้หมด
พอทานหลายๆร้านคุณจะเห็นเองว่าลูกค้าชอบการบริการแบบไหน สิ่งเหล่านี้เรียกว่าการเรียนรู้จากประสบการณ์ คุณไม่สามารถขายก๋วยเตี๋ยวได้ดีถ้าไม่รู้ความต้องการของลูกค้า บางทีอยากขายสไตล์นี้แต่ลูกค้าไม่ชอบ ฝืนเปิดร้านไปก็ต้องจบอยู่ดี ยิ่งไปกินหลายๆร้านได้เท่าไหร่ยิ่งดี อย่าเสียดายค่าก๋วยเตี๋ยวเพียงไม่กี่สิบบาท ดีกว่าจะต้องมาเจ๊งด้วยต้นทุนหลายหมื่นบาท! อย่างน้อยที่สุดมื้อนั้นคุณก็อิ่มท้อง จริงมั้ยคะ
การสร้างแบรนด์ หรือเอกลักษณ์ก็เป็นสิ่งสำคัญ
ไม่ว่าคุณจะขายอะไร พยายามทำให้คนพูดถึงร้านคุณให้มากที่สุด อย่าง“เครปป้าเฉื่อย” ของที่ต้องรอคิวนานเป็นหลายชั่วโมงหรืออาจต้องรอกันข้ามวันข้ามคืนกว่าจะได้กิน แต่ทำไมถึงยังมีคนมาต่อคิวกัน มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ…? บางคนอาจจะบอกว่าอร่อยมากๆคุ้มค่าแก่การรอคอย บางคนอาจจะบอกว่าก็เครปปกติทั่วไป (แล้วแต่ความชอบนะคะ)
แต่สิ่งที่พิเศษก็คือ
ทุกคนต่างสงสัยว่าทำไมคนถึงมานั่งรอกัน…พอสงสัยก็ต้อง “ลองบ้าง” เพื่ออยากพิสูจน์ ก็เลยยิ่งทำให้มีคนมาต่อคิวยาวเหยียดเพื่อกินเครปป้าเฉื่อย แถมยังมีรายการอาหารมาถ่ายทำอีกตั้งมากมาย มีเว็ปไซต์เอาเรื่องราวไปเขียนลงบล็อกมากมาย เอกลักษณ์ของป้าจึงอยู่ที่ “การรอคิว” นั่นเอง
แล้วธุรกิจคุณล่ะคะ!
จะออกมาในรูปแบบไหนดี? คุณต้องหาเอกลักษณ์ของคุณให้เจอ แล้วพัฒนามัน แล้วให้คนอยากลอง อยากใช้ อยากกิน อยากพิสูจน์ อยากเห็น อยากสัมผัสด้วยตัวเอง อยากอวดเพื่อน อยากเป็นประสบการณ์ได้บอกเพื่อนว่าได้ทำแล้ว เช่นบะหมี่จอมพลังชามยักษ์เท่าอ่าง หรือเสื้อยืดวัยรุ่นยี่ห้อPlay เค้กโรลวันเกิดที่สกรีนหน้าตัวเองได้อย่างนี้เป็นต้น ไม่มีธุรกิจใดยากเกินไปแค่คุณมีไอเดียดีๆก็ลุยเลยค่ะ